logo

ภาพข่าวกิจกรรมคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ภาพข่าวและกิจกรรมประจำปี 2558

 

เสวนา Science Cafe
เรื่อง "ไขความจริงทางวิทยาศาสตร์ ของ ไข้เลือดออก"

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ณ ห้องประชุม K102 อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (พญาไท) --- คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดเสวนาเรื่อง ไขความจริงทางวิทยาศาสตร์ของ "ไข้เลือดออก" โดย ศ. ดร.ศุขธิดา อุบล ภาควิชาจุลชีววิทยา ผู้เชี่ยวชาญไวรัสเดงกี่ และ ผศ. พญ.อรุณี ธิติธัญญานนท์ ภาควิชาจุลชีววิทยา กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกันและโรคติดเชื้อในเด็ก เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเกิดโรค อาการ การป้องกัน และการรักษา รวมถึงการวิจัยและพัฒนาวัคซีน

ศ. ดร.ศุขธิดา ระบุว่า พาหะสำคัญของโรคไข้เลือดออกคือ ยุงลายบ้าน ซึ่งในประเทศไทยพบว่ามียุงที่มีเชื้อไข้เลือดออกจากการกัดผู้ป่วยโดยตรงร้อยละ 0.2-2.0 และสามารถถ่ายทอดจากแม่ยุงสู่ลูกยุงผ่านไข่ได้ ทั้งนี้เชื้อไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์ มีทั้งเชื้อก่อโรครุนแรงและไม่รุนแรง สำหรับอาการของนายทฤษฎี สหวงษ์ (ปอ) ดาราหนุ่มนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเชื้อที่กลายพันธุ์หรือไม่ จนกว่าจะแยกเชื้อไวรัสและศึกษาพันธุกรรม รวมถึงคุณสมบัติของไวรัสก่อน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงของโรคเกิดจากระบบภูมิต้านทานของตัวผู้ป่วย โดยผู้ติดเชื้อครั้งที่ 2 ด้วยสายพันธุ์ที่ต่างจากครั้งแรกจะมีอาการรุนแรงมากกว่า 15-80 เท่าของคนที่ติดเชื้อครั้งแรก และถ้าการติดเชื้อในครั้งที่ 2 ข้ามสายพันธุ์ในระยะมากกว่า 6 เดือน – 2 ปี จะทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำลง และไปส่งเสริมให้เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น เม็ดเลือดขาวไม่สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส 100-1,000 เท่า และไปทำลายเกล็ดเลือด การแข็งตัวของเลือดเสีย ทำลายเนื้อเยื่อผนังหลอดเลือด จนนำไปสู่ภาวะช็อค นอกจากนี้ยังมี NS1 ซึ่งเป็นท็อกซินของไวรัสเดงกี่ ถ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมกับที่มีจำนวนของไวรัสมากขึ้น และไปจับกับโปรตีนบนผิวของเม็ดเลือดขาว จะทำให้ผนังหลอดเลือดรั่ว

ผศ. พญ.อรุณี กล่าวเสริมว่า เมื่อเกล็ดเลือดถูกทำลาย และการสร้างเกล็ดเลือดถูกกดจากการติดเชื้อ จะทำให้ผู้ป่วยมีเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เลือดออกง่าย เมื่อรับประทานยาในกลุ่มลดไข้สูงเช่น ยา ibuprofen จะไปกัดกระเพาะอาหาร เกิดการอักเสบ มีแผล ทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร ในระยะช๊อคเลือดจะเข้มข้นขึ้น จากการที่น้ำเหลืองรั่วออกมาจากเส้นเลือดอยู่แล้ว หากมีเลือดออกอีกจะทำให้โรครุนแรง และการควบคุมภาวะช็อคยากขึ้น ปกติคนไทยจะรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้ในปริมาณที่มากเกินไป ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่คือ ไม่เกินวันละ 6 เม็ด หรือ 1-1.5 เม็ดต่อมื้อ แต่คนที่เป็นไข้สูงมักรับประทาน 2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง เฉลี่ย 10-12 เม็ดต่อวัน ทำให้ตับมีปัญหา จึงอยากรณรงค์ให้มีการรับประทานยาลดไข้อย่างถูกต้อง รวมถึงหากสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกในช่วงกำลังจะมีประจำเดือน หรือขณะมีประจำเดือน ให้แจ้งแพทย์ผู้รักษา แพทย์จะให้ยาเลื่อนประจำเดือนเพื่อลดปัญหาโรคแทรกซ้อน เพราะเคยมีผู้ป่วยไข้เลือดออกเสียชีวิตขณะมีประจำเดือนมาแล้วเมื่อ 3-4 ปีก่อน

ทั้งนี้ผู้ป่วยไข้เลือดออกระยะเริ่มแรกมักแยกอาการไม่ออกกับไข้ปกติ หากมีไข้สูงเกิน 2-3 วัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กระบอกตา กระดูก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสภาพร่างกายด้วย ในผู้ใหญ่มักวินิจฉัยโรคได้ช้า ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว ไม่มีการวัดไข้ ขณะช็อคอาจยังมีสติดี คิดว่านอนพักฟื้นแล้วจะดีขึ้น คนที่น่าเป็นห่วงคือ คนที่อาศัยอยู่คนเดียว จากสถิติพบว่าผู้ป่วยที่อายุน้อยที่สุดคือ ทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อขณะแม่ตั้งครรภ์ ส่วนอายุมากที่สุดคือ 92 ปี โดยกลุ่มหลักที่ติดเชื้อไข้เลือดออกมากที่สุดในขณะนี้คือ ผู้มีอายุระหว่าง 10-25 ปี

สำหรับการให้เลือดแก่ผู้ป่วย ศ. ดร.ศุขธิดา กล่าวว่า จะไม่ให้เกล็ดเลือดกับผู้ป่วยทุกราย หากไม่มีแผลเลือดออก เกล็ดเลือดจะเพิ่มปริมาณเองโดยธรรมชาติเมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น ส่วนการบริจาคเลือดในขณะนี้ยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไข้เลือดออกจึงน่าเป็นห่วง เพราะบางคนไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ ส่วนการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกนั้นยอมรับว่าปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสไข้เลือดออก โดยทั่วไปอาการของโรคจะรุนแรงในวันที่ 4-5 แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลังจาก 2-3 วันไปแล้ว แพทย์มีโอกาสให้ยาเพียง 1-2 วันจึงไม่สามารถรักษาได้ทัน ความหวังจึงอยู่ที่การใช้วัคซีนป้องกันเพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน โดย ศ. นพ.ณัฐ ภมรประวัติ และ รศ. ดร.สุธี ยกส้าน เป็นนักวิจัยกลุ่มแรกในโลกที่พัฒนาเชื้อไวรัสเดงกี่อ่อนฤทธิ์ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ยังไม่สามารถพัฒนาออกมาเป็นวัคซีนได้ ทั่วโลกพยายามทำวิจัยและพัฒนาวัคซีนจากไวรัสเชื้อเป็นและเชื้อตาย และโปรตีนบางส่วนของไวรัส แต่ที่พัฒนาได้ไกลที่สุดคือ นำโปรตีนของเปลือกหุ้มไวรัสมาโคลนอยู่ในไวรัสไข้เหลืองและใช้ในแอฟริกา จากการทดสอบในประชากรพบว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงร้อยละ 60 และครอบคลุมเฉพาะเดงกี่ที่มีอยู่ 4 สายพันธุ์ โดยฉีดเข้าไปพร้อมกัน แต่เกิดปัญหาการต่อสู้กันเองของแต่ละสายพันธุ์ ทำให้ภูมิต้านทานไม่เท่ากัน อีกทั้งไม่ครอบคลุมถึง NS1 ท็อกซินของไวรัสที่ก่อปัญหา

ปัจจุบันนักวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ในการพัฒนาวัคซีนแบบพ่นจมูกเพื่อป้องกันไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 3 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ได้ยากที่สุด หากประสบความสำเร็จก็จะขยายผล ให้ครบทั้ง 4 สายพันธุ์ เหตุที่ใช้การพ่นทางจมูกเนื่องจากการให้วัคซีนโดยการฉีดประมาณ 3-4 ครั้ง เด็กมักงอแง การพ่นจมูกจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยนักวิจัยจะทำการทดลองกับสัตว์ในห้องปฏิบัติการเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ก่อนทำการทดลองในคนซึ่งต้องทำกับคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเท่านั้น จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัยเกี่ยวกับไข้เลือดออกและการผลิตบุคลากรระดับปริญญาเอกเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าใช้งบประมาณ 200-300 ล้านบาท ทั้งนี้ปัญหาสำคัญของโรคติดเชื้อในผู้ใหญ่ คือ ความรวย เพราะการใช้ชีวิตที่สุขสบายตั้งแต่เด็กจะทำให้มีภูมิต้านทานต่ำ มีโอกาสติดเชิ้อได้มากขึ้นและง่ายขึ้น" ศ. ดร.ศุขธิดา กล่าวทิ้งท้าย


คลิปข่าวกิจกรรมเสวนา Science Cafe จากสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT


คลิปข่าวกิจกรรมเสวนา Science Cafe จาก SmartNews (News true4U) : วัคซีนไข้เลือดออก

:: โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ ::

:: iPTV@Mahidol : เสวนา Science Cafe เรื่อง "ไขความจริงทางวิทยาศาสตร์ของไข้เลือดออก ::
:: คลิปข่าวจาก Nation TV : "ไข้เลือดออกรอบ 2 จะรุนแรง 15-80 เท่า" ::

:: คลิปข่าวจาก Nation TV : "พัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกแบบพ่นจมูก" ::
:: คลิปข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ : นักวิจัยมหิดลวอนรัฐหนุนนำวิจัยไข้เลือดออก ::
:: คลิปข่าวจาก NBT News : "ไขความจริงทางวิทยาศาสตร์ของไข้เลือดออก" ::
:: คลิปข่าวจาก ช่อง 7 : "มหิดล เร่งพัฒนาวัคซีนพ่นผ่านจมูก ป้องกันไข้เลือดออก" ::
:: คลิปข่าวจาก ห้องข่าว NBT : "โฟนอิน..ดร.ศุขธิดา ม.มหิดล ประเด็น เร่งพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก" ::

:: ข่าวจาก TNN24 : คาดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกได้ผล60% ::
:: ข่าวจาก คมชัดลึก : มหิดลเร่งพัฒนาวัคซีนพ่นจมูกกันไข้เลือดออก ::
:: ข่าวจาก ข่าวสด : "มหิดล" เร่งพัฒนาวัคซีนพ่นจมูกป้องกันไข้เลือดออก ชี้ปัจจัยติดเชื้อซ้ำไวรัสเพิ่ม 100-1,000 เท่า ::
:: ข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ : "มหิดล" เร่งพัฒนาวัคซีนพ่นจมูกป้องกันไข้เลือดออก ชี้ปัจจัยติดเชื้อซ้ำไวรัสเพิ่ม 100-1,000 เท่า ::
:: ข่าวจาก มติชนออนไลน์ : มหิดลเร่งพัฒนาวัคซีนพ่นจมูก ป้องกันไข้เลือดออก เตือนมีไข้อย่าบริจาคเลือด! ::
:: ข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นักวิจัยมหิดลวอนรัฐหนุนนำวิจัยไข้เลือดออก ::
:: ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์ : พบ "ไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่" ในป่ามาเลเซีย หวั่นติดต่อสู่คน ชี้ป่วยครั้งสองเกิน 2 ปี ทำอาการรุนแรง เร่งทำวัคซีนพ่นจมูก ::
:: ข่าวจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ : ผู้เชี่ยวชาญด้านไข้เลือดออก ระบุปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันเป็นตัวกระตุ้นการติดเชื้อเดงกี่ครั้งที่ 2 รุนแรงขึ้นเกือบ 80 เท่า ::

:: สรุปประเมินกิจกรรมเสวนา Science Cafe เรื่อง "ไขความจริงทางวิทยาศาสตร์ ของ ไข้เลือดออก" ::

ถ่ายภาพ : นายนภาศักดิ์ ผลพานิช, ดร.รุจเรขา วิทยาวุฑฒิกุล, นางวริศรา ทาทอง
เขียนข่าว : นางวริศรา ทาทอง, นางสาวนิธิปรียา จันทวงษ์ (นักข่าว สกว.)
เว็บมาสเตอร์ : นางสาวอริศรา เฉิดมนูเสถียร