รางวัลเกียรติยศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
|
เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2487
กรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่
4 จากโรงเรียน St. David Preparatory
School เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ และสำเร็จการศึกษา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียน
Alexandra Grammar School ประเทศสิงคโปร์
จากนั้น ได้รับทุนโคลัมโบ จากรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย
ในปี พ.ศ. 2506-2509 ไปศึกษาในสาขาวิชาเคมี
ณ มหาวิทยาลัยออสเตรเลียเนชั่นแนล เมืองแคนเบรา
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
เกียรตินิยมอันดับสองแล้ว ได้รับทุนมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์
ไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาชีวเคมี
ในปี พ.ศ. 2517
ปี พ.ศ. 2517 เข้ารับราชการเป็นอาจารย์วิสามัญ
ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์
ในปี พ.ศ. 2520 รองศาสตราจารย์ในปี
พ.ศ. 2524 และศาสตราจารย์ในปี พ.ศ.
2541 เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาชีวเคมี
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างปี
พ.ศ. 2531-2534 ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง
รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล
นอกจากนี้ยังได้ปฏิบัติงาน ในหน้าที่อื่นๆ
อีก เช่น ประธานสาขาชีวเคมี ของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยฯ
ระหว่างปี พ.ศ. 2531-2533 บรรณาธิการวารสาร
Journal of Science Society of Thailand
ระหว่างปี พ.ศ. 2534-2535 และกรรมการบรรณาธิการวารสาร
Asia Pacific Journal of Molecular
Biology and Biotechnology ระหว่างปี
พ.ศ. 2537-ปัจจุบัน จากการสอนและการทำวิจัย
อย่างต่อเนื่องตลอดมา ทำให้ ศ.ดร. ประพนธ์
วิไลรัตน์ ได้รับรางวัล มหาวิทยาลัยมหิดล
สาขาการวิจัย ในปี พ.ศ. 2530 รางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล
สาขาความเป็นครู ในปี พ.ศ. 2535 รางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยม
จากสภาวิจัยแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2538
เป็นผู้ร่วมคณะ ในโครงงานที่ได้รับรางวัลที่
1 ผลงานประดิษฐ์คิดค้นยอดเยี่ยม จากสภาวิจัยแห่งชาติ
ในปี พ.ศ. 2539 รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ
สาขาเคมีเภสัช จากสภาวิจัยแห่งชาติ
ในปี พ.ศ. 2539 ได้รับเลือกเป็นเมธีวิจัยอาวุโส
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ.
2539 รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี
พ.ศ. 2540 จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น
จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
ศ.ดร.
ประพนธ์ วิไลรัตน์ มีความสนใจในโรค
2 ชนิด ที่พบมากในประเทศไทย คือ มาลาเรีย
และธาลัสซีเมีย
ธาลัสซีเมียเป็นโรคโลหิตจาง แต่พยาธิสรีรวิทยาที่สำคัญในผู้ป่วย
ธาลัสซีเมียคือ การเกิดสภาวะ oxidative
stress ทั้งในเม็ดเลือดแดง และทั่วไปในร่างกายของผู้ป่วย
ในเม็ดเลือดแดงนั้นสภาวะ oxidative
stress เกิดจากความไม่สมดุลในปริมาณของ
สายโกลบิน และมีสายโกลบินมาเกาะที่ด้านในของผนังเซลล์
ทำให้สมบัติของเซลล์ เม็ดเลือดแดงเปลี่ยนไป
อาทิ มีแคลเซียมเข้าเซลล์มากขึ้น มีน้ำหลั่งออกจากเซลล์
และมีการเปลี่ยนแปลงที่โครงสร้างผนังเซลล์ทั้งส่วนที่เป็นลิปิด
และโปรตีน จึงทำให้ ผนังด้านนอกของเซลล์ก่อปฏิกิริยากับซีรั่ม
ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า thalassemic
red blood cell immunocoagulopathy
ดังนั้นจึงได้ศึกษาในรายละเอียด ระดับ
โมเลกุลของเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง
จากผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย จากการใช้เทคนิค
โฟลซัยโตมิเตอร์ และแอนติบอดีที่จำเพาะต่อโปรตีน
ไกลโคฟอรินบนผนังเซลล์ เม็ดเลือดแดง
ได้พบว่ามีเวซิเคิลส์อยู่ในกระแสเลือด
ของผู้ป่วยธาลัสซีเมียมากกว่า คนปกติ
เวซิเคิลส์เหล่านี้มีคุณสมบัติเร่งการแข็งตัวของเลือด
และสามารถกระตุ้น ระบบคอมพลีเมนต์ นอกจากนี้การศึกษาวิจัยทางอณูชีววิทยา
พบว่าบ่อยครั้งที่ ความสัมพันธ์ระหว่าง
genotype กับ phenotype ไม่ไปด้วยกัน
กล่าวคือในผู้ป่วย ซึ่งมีการกลายพันธุ์ในโกลบินยีนแบบเดียวกัน
แต่ความรุนแรงของอาการ ไม่เหมือนกัน
จึงต้องมีการวิจัยถึงปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดความรุนแรงของโรคธาลัสซีเมีย
พบว่าการสร้าง mRNA ของเบตาโกลบินลดต่ำ
ในผู้ป่วยเบตาธาลัสซีเมีย/ฮีโมโกลบินอี
(Beta-thalassemia/Hb E) ทำให้ แอลฟา/เบตา
mRNA ratio สูงขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ป่วย
จะมี genotype เหมือนกัน ความรู้ที่ได้จะเป็นประโยชน์เมื่อมีการนำวิธีการรักษาโรค
ธาลัสซีเมียด้วยยีน (gene therapy)
มาใช้ในอนาคต
อุปสรรคสำคัญในการควบคุมโรคมาลาเรีย
คือการดื้อต่อยาของเชื้อ Plasmodium
falciparum ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนายาต้านมาลาเรียชนิดใหม่ๆ
ขึ้นมา รวมทั้งการค้นคว้าหาเป้าหมายของยาในเชือมาลาเรีย
เช่นศึกษาเอ็นไซม์ที่เชื้อมาลาเรีย
ใช้ในการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรม พบว่าอนุพันธ์ของ
3.6-diamino-9-anilinoacridines สามารถฆ่าเชื้อมาลาเรีย
โดยยับยั้งเอนไซม์ DNA topoisomerase
II นอกจากนี้ยังได้ศึกษา กลไกการออกฤทธิ์ของยาชนิดอื่นๆ
เช่น artemisinin ทั้งในเม็ดเลือดแดงปกติ
และเม็ดเลือด แดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
พบว่าเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยแอลฟาธาลัสซีเมีย
(Alpha-thalassemia) สามารถทำลายประสิทธิภาพของยา
artemisinin ได้
ภาวะการตายแบบอะพอพโทลิส (apoptosis)
ซึ่งพบได้ทั้งในภาวะสมดุล (homeostasis)
และในโรคหรือพยาธิสภาพต่างๆ นั้นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เซลล์ตาย
โดยอะพอพโทลิสคือ สภาวะ oxidative stress
ได้พบว่าซีรั่มผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่มีสภาวะ
oxidative stress ทำให้เซลล์บุผนัง
หลอดเลือดตาย โดยขบวนการอะพอพโทลีสได้
ดังนั้นการศึกษาการตายแบบอะพอพโทลิส
ทั้งในด้านกลไกการเกิด และการหาสารตัวกลางจึงเป็นงานวิจัย
ที่จะนำไปสู่การประยุกต์ใช้ สารต้านฤทธิ์
(inhibitors) ในการรักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมียได้
การดำเนินการวิจัยเพื่อค้นหายาใหม่ๆ
ในการรักษาโรคมาลาเรียนั้น จะมุ่งเน้นไปที่
ขบวนการเมตาโบลิสม ที่จำเพาะในเชื้อมาลาเรีย
เชื้อมาลาเรียทำลายฮีโมโกลบิน ของเม็ดเลือดแดง
ในออร์กาแนล (organelle) ที่เป็นกรดเรียกว่า
Food vacuole เพื่อใช้กรดอะมิโนเป็นอาหาร
ส่วน heme ที่เป็นพิษต่อเชื้อมาลาเรีย
จะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นโพลีเมอร์ จากความรู้ทางอณูชีววิทยา
เกี่ยวกับเอนไซม์ ย่อยสลายฮีโมโกลบินชนิด
plasmepsins ใน food vacuole ของเชื้อมาลาเรีย
จะสามารถนำไปเป็นแนวทาง ในการศึกษายาชนิดใหม่
ซึ่งจำเพาะต่อเชื้อมาลาเรีย การทดลองที่ผ่านมาพบว่า
สารเคมีชนิด acridine สามารถฆ่าเชื้อมาลาเรียได้
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เอนไซม์ DNA topoisomerases
สารเคมีชนิดนี้ สามารถสะสมในออร์กาแนล
ที่เป็นกรดของเซลล์ ถ้าทำการดัดแปลงโครงสร้างบางส่วน
ของสารเคมี acridine สารนี้จะสามารถมีฤทธิ์
ระงับขบวนการเกิดโพลิเมอร์ของ heme
ภายใน food vacuole ของเชื้อได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาค้นคว้า
หาสารเคมีที่ลดการดื้อ ต่อยาต้านมาลาเรีย
chloroquine และศึกษาการทำงานของเอนไซม์
protease ที่เกี่ยวข้องกับการรุกราน
เข้าเซลล์เม็ดเลือดแดง ของเชื้อมาลาเรียด้วย
ซึ่งจะเป็นเป้าหมายหนึ่ง ของยารักษามาลาเรียในอนาคต
ความรู้ความเข้าใจถึงพยาธิสรีรวิทยา
ของโรคธาลัสซีเมียในระดับโมเลกุล ยังล้าหลังความรู้เรื่อง
การกลายพันธุ์ของยีน ของโปรตีนโกลบินเป็นอย่างมาก
ในคนที่เป็นโรคนี้ มีเม็ดเลือดแดงที่มีอายุสั้นกว่าคนปกติ
เนื่องจากสภาวะ oxidative stress เกิดจากความไม่สมดุล
ในปริมาณของสายโกลบิน และมีสายโกลบินมาเกาะที่ด้านในของผนังเซลล์
ทำให้สมบัติของเซลล์เม็ดเลือดแดงเปลี่ยนไป
หนึ่งในบรรดาเอนไซม์ที่อยู่ที่ผิวเม็ดเลือดแดง
ที่ได้รับผลกระทบโดยภาวะนี้คือ เอนไซม์
Ca2+-ATPase ดังนั้นการศึกษาเอนไซม์ชนิดนี้
ที่ได้จากเม็ดเลือดแดงผู้ป่วย รวมทั้งเปรียบเทียบคุณสมบัติ
ที่ได้จากการจำลองภาวะ oxidative stress
ในหลอดทดลอง จะนำไปสู่การพัฒนายา และการรักษา
ที่ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจ ในขบวนการกลายพันธุ์ของยีนดังกล่าว
ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเครื่องมือ ทำนายความรุนแรงของโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียได้
ยังมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง เช่น กระบวนการสร้าง
และแปลรหัสของ RNA และการกลายพันธุ์ใน
enhancer sequence ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการทำความเข้าใจมากขึ้น
จากหนังสือ เมธีวิจัยอาวุโส
สกว. 2543. TRF Senior Research Scholar
2000.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
[ISBN 974-8196-85-2] หน้า 40-43 |