ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร. ชาคริต สิริสิงห เกิดเมื่อวันที่
18 กันยายน 2512 จังหวัดกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนที่สองของศาสตราจารย์
ดร. สถิตย์ และแพทย์หญิงวลัยลักษณ์
สิริสิงห จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น
จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
และเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นเข้าศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต
สาขาเคมี เมื่อปี 2534 หลังจากนั้นได้รับปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล
เมื่อปี 2536 และได้รับทุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ให้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก
ในสาขา Rubber Engineering ณ Loughborough
University สหราชอาณาจักร และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี
2540 จากนั้นเข้ารับราชการ เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพอลิเมอร์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จนถึงปัจจุบัน
งานวิจัยที่ ดร. ชาคริต สิริสิงห
สนใจได้แก่ งานวิจัยด้านวิทยากระแสของพอลิเมอร์
งานวิจัยด้านการผสมและขึ้นรูป ทั้งของยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์
ตลอดจนงานวิจัยด้านยางผสม มีผลงานดีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติจำนวน
15 เรื่อง ได้เข้าร่วมประชุมเสนอผลงานตลอดจนเป็น
technical committee ในการประชุมระดับนานาชาติหลายครั้ง
เช่นการประชุม International Seminar
on Elastomers ครั้งที่ 7 และครั้งที่
8 การประชุม Polymer Processing Society
(PPS) 1999
ผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการผสม และขึ้นรูปทั้งของยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์
ซึ่งได้รับทุนวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมขนาดเล็ก
จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) พบว่าการกระจายตัวของเขม่าดำซึ่งเป็นสารตัวเติมที่สำคัญ
ในการเสริมแรงของยาง มีผลอย่างมากต่อความสามารถในการผสมและขึ้นรูปของยางคอมพาวด์
การควบคุมให้ยางคอมพาวด์มีการกระจายตัว
ของเขม่าดำในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการขึ้นรูปโดยกระบวนการอัดรีด
(extrusion) มีการพองตัว (extrudate
swell) เหมาะสม และมีผิวเรียบแล้ว ยังสามารถประหยัดเวลาและพลังงานที่ใช้ในการผสมได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่าการเติมสารเคมีชนิดต่าง
ๆ เช่น น้ำมัน (processing oil) และสารหล่อลื่น
(slipping agent) จะส่งผลต่อการพองตัว
และความเรียบของผิวผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการอัดรีด
ส่วนผลงานวิจัยด้านยางผสมสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนหลัก
ในส่วนแรกได้แก่ งานวิจัยที่ศึกษาการกระจายตัวของสารตัวเติมชนิดต่าง
ๆ เช่น เขม่าดำ และซิลิกา ในระบบยางผสมระหว่างยางบิวตะไดอีน
(Butadiene Rubber, BR) กับยางไนไตรล์
(Nitrile Rubber, NBR) พบว่าสารตัวเติมจะเข้าไปในยางที่มีความหนืดต่ำกว่า
หรือมีความเป็นขั้วใกล้เคียงกับสารตัวเติม
ในงานวิจัยที่เกี่ยวกับยางผสมส่วนที่สอง
ซึ่งได้รับทุนวิจัยหลังปริญญาเอก จากสำนักงานการกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) เป็นงานวิจัยที่มุ่งเน้นการใช้ยางธรรมชาติผสม
ลงไปในยางไนไตรล์ เพื่อสามารถใช้ยางธรรมชาติขนาดที่เล็กกระจายตัวอยู่
จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ยางไนไตรล์ที่มีอนุภาคยางธรรมชาติ
ขนาดเล็กกระจายตัวอยู่ จะมีความทนน้ำมันสูงกว่ายางไนไตรล์ที่มีอนุภาคยางธรรมชาติขนาดใหญ่กระจายตัวอยู่
โดยขนาดของอนุภาคยางธรรมชาติ สามารถควบคุมได้จากสภาวะของการผสมที่ใช้
ตลอดจนสัดส่วนของความหนืด ระหว่างยางธรรมชาติกับยางไนไตรล์
ปัจจุบัน ดร.
ชาคริต สิริสิงห ยังคงสนใจงานวิจัยด้านยางผสม
โดยเน้นไปที่การใช้ยางธรรมชาติเพื่อลดต้นทุนในการผลิต
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากคลอริเนเตทพอลิเอธิลีน
(Chlorinated Polyethylene, CPE) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ที่มีราคาสูง
และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากการศึกษาในระบบยางผสมแล้ว
ยังทำการศึกษาระบบพอลิเมอร์ผสม ระหว่างยางธรรมชาติที่มีต่อสมบัติของพอลิเมอร์ผสม
งานวิจัยในปัจจุบันอีกงานหนึ่ง ได้แก่
การศึกษาผลของการผสมสารตัวเติมชนิดต่าง
ๆ ลงในยางธรรมชาติที่เตรียมขึ้นโดยวิธีที่ต่างกัน
โดยจะเน้นไปที่การควบคุมสมบัติด้านต่าง
ๆ ของยางคอมพาวด์
จากหนังสือ :
รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี
๒๕๔๔ : รองศาสตราจารย์ ดร. เกตุ กรุดพันธ์.
[กรุงเทพฯ] : มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2544. ISBN 974-8196-96-8 |