ยางล้อตันประหยัดพลังงาน
ยางล้อรถประหยัดพลังงานคือแนวโน้มของเทคโนโลยียางล้อรถในอนาคต เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานของโลก ปัจจุบันได้เริ่มมีการออกกฎระเบียบสำหรับการซื้อขายยางล้อรถประหยัดพลังงาน เช่น EU Tyre Labelling Regulation 1222/2012 ซึ่งกำหนดว่ายางล้อรถที่ส่งไปขายในประเทศยุโรปจะต้องผ่านเกณฑ์คุณลักษณะของยางล้อที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความต้านทานการหมุน (rolling resistance) ซึ่งบอกถึงความประหยัดน้ำมัน ดัชนีการยึดเกาะถนนเปียก (wet grip index) ซึ่งบอกถึงความปลอดภัย และระดับความดังของเสียง (external noise of tyre) ซึ่งบอกถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และต้องติดฉลากแสดงคุณลักษณะทั้ง 3 ดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถส่งไปจำหน่ายในทวีปยุโรปได้ต้นแบบยางล้อตันที่พัฒนาขึ้น
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยที่สนับสนุนผู้ประกอบการผลิตยางล้อไทยให้มีความสามารถในการผลิตยางล้อรถประหยัดพลังงาน โดยเป็นการพัฒนายางล้อตันสำหรับรถฟอร์คลิฟท์ประหยัดพลังงานร่วมกับบริษัท วี.เอส. อุตสาหกรรมยางจำกัดและศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สนับสนุนงบประมาณการวิจัยโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ผลงานวิจัย
พัฒนายางล้อตันประหยัดพลังงานโดยการออกแบบโครงสร้างยางล้อและดอกยางเชิงวิศวกรรม ใช้วิธีวิเคราะห์ไฟไนต์เอลิเมนต์และพัฒนายางคอมพาวด์ที่มีการสูญเสียพลังงานต่ำ โดยมีเป้าหมายให้ได้ค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนไม่สูงกว่าของบริษัทชั้นนำอันดับหนึ่งของโลกคือ 21 กิโลกรัม/ตัน ซึ่งยางล้อตันที่พัฒนาขึ้นมีค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนดีกว่ายางล้อตันเดิมของบริษัทร้อยละ 38 และดีกว่ายางล้อตันของบริษัทชั้นนำของโลกร้อยละ 14 นอกจากนี้ยางล้อตันที่พัฒนาขึ้นยังมีความต้านทานต่อการสึกกร่อนดีกว่ายางล้อตันเดิมประมาณ 2 เท่า และเมื่อนำไปทดสอบการใช้งานจริงในภาคสนาม พบว่า สามารถใช้งานได้นานขึ้น (ทนการสึกกร่อนได้ดีขึ้น) กว่ายางล้อตันเดิมของบริษัทร้อยละ 70 สำหรับยางล้อหน้าและร้อยละ 55 สำหรับยางล้อหลัง มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานลดลงร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับยางล้อตันเดิม หากคิดเป็นผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ยางล้อตันใหม่ที่พัฒนาขึ้นสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้งานรถฟอร์คลิฟท์ได้ถึงปีละประมาณ 60,000 บาท/คัน/ปี
การนำผลงานไปใช้ประโยชน์
บริษัท วี.เอส. อุตสาหกรรมยาง จำกัดได้นำผลงานวิจัยไปผลิตยางล้อตันประหยัดพลังงานเกรดพรีเมี่ยม ขายในเชิงพาณิชย์ สามารถขายยางล้อตันได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ในช่วง 8 เดือนแรก และสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น